วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

กิริยาช่วย





(  Helping  Verb หรือ  Auxiliary  Verb ) 
กิริยาช่วย คือ 
กิริยาที่มีหน้าที่ช่วยให้กิริยาด้วยกัน
มีความหมายดีขึ้น 
และ ยังมีหน้าที่ทำให้ตัวของมันเอง
มีความหมายที่สมบูรณ์ขึ้น
ได้ดีอีกด้วย  เช่น 
 She  studies  in  Lamp – Tech  college .  
Does she study in Lamp – Tech College?
  
คำกริยาช่วยมี 24 ตัว คือ


กริยาช่วย
รูปปฎิเสธ
คำย่อ
is
is not
isn't
am
am not
-
are
are not
aren't
was
was not
wasn't
were
were not
weren't
do
do not
don't
does
does not
doesn't
did
did not
didn't
has
has not
hasn't
have
have not
haven't
had
had not
hadn't
can
can not
can't
could
could not
couldn't
may
may not
mayn't
might
might not
mightn't
will
will not
won't
would
would not
wouldn't
shall
shall not
shan't
should
should not
shouldn't
must
must not
mustn't
need
need not
needn't
dare
dare not
daren't
ought
ought not
oughtn't
used to
used not to
usedn't to
 
 
 
วิธีการใช้
1.             ถ้าประโยคนั้นมีกริยานุเคราะห์ 24 ตัวนี้ตัวใดตัวหนึ่ง
ปรากฏอยู่ในประโยคแต่เพียงลำพังไม่มีกริยาอื่นเข้ามาร่วมประโยคนั้น
กริยานุเคราะห์ทำหน้าที่เป็นกริยาแท้

2.             ถ้าประโยคกริยานุเคราะห์มาร่วมกับกริยาตัวอื่น  มันก็ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยไป ไม่ใช่เป็นกริยาแท้


 

หน้าที่ของ Verb to be
1.             วางไว้หน้ากริยาที่มี ing ทำให้ประโยคนั้น
เป็น continuous Tense มีความหมาย แปลว่ากำลังทุกครั้งไป

2.              เมื่อวางไว้หน้ากริยาช่อง
(เฉพาะสกรรมกริยา ) 
ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก ( Passive Voice ) 
มีความหมาย แปลว่าถูกเป็นเอกลักษณ์

3.             วางไว้หน้ากริยาสภาวมาลา (Infinitive)
 แปลว่าจะต้องมีความหมายเป็นอนาคตกาล
เพื่อแสดงถึงความจงใจ หรือตั้งใจ



หน้าที่ของ Verb to do
1.             ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถาม
2.             ช่วยทำให้ประโยคบอกเล่าเป็นประโยคปฏิเสธ 
ในกรณีที่ประโยคนั้น Verb to have ไม่มี    Verb to beไม่อยู่ 
 Verb to doจึงต้องมาช่วยให้เป็นปฏิเสธ
3.             ใช้หนุนกริยาตัวอื่นเพื่อให้เกิดความสำคัญ
กับกริยาตัวนั้นว่าจะต้องทำเช่นนั้นจริงๆ
หรือเกิดขึ้นจริงๆโดยให้เรียงไว้
 
4.             ใช้แทนกริยาตัวอื่นที่อยู่ประโยคเดียวกัน
เพื่อต้องการมิให้ใช้กริยาตัวเดิมนั้นซ้ำๆซากๆ
5.             Verb to doถ้านำมาใช้เป็นกริยาแท้แปลว่าทำ
 He does his home work every day. (เขาทำการบ้านของเขาทุกๆวัน)



หน้าที่ของ Verb to have
1.             เรียงไว้หน้ากริยาช่อง3ทำให้ประโยคนั้นเป็น
 Perfect Tense 



2.             ใช้โดยมีกริยาสภาวมาลา ( Infinitive )
ตามหลังมีความหมายแปลว่าต้องตลอดไป
3.             ใช้ให้เกิดความหมายเท่ากับเหตุกัตตาประโยค 
คือประโยคที่ทำให้ผู้อื่นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้  
ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้รูปประโยค
       Have + Noun + Verb 3


หน้าที่ของ Will, Shall, Would, Should

Will  ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคต
และใช้กับประธานที่เป็นบุรุษที่2-3 และนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ทั่วไป

Shall ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาล
และใช้กับประธานที่เป็นุรุษที่1 เท่านั้น


Would ใช้เป็นกริยาช่วยดังต่อไปนี้ 
1. ใช้เป็นอดีตของWillในประโยคที่เปลี่ยนข้อความมาจาก indirect speech
2.ใช้เป็นกริยาในสำนวนการพูดอยากจะ, อยากให้ในกรณีเช่นนี้ใช้กับ
ทุกพจน์ทุกบุรุษและมีความหมายเป็นปัจจุบันกาลธรรมดา
3.ใช้กับสำนวนการพูดว่าควรจะดีกว่าควบกับ better หรือ rather 
ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ

 Should  แปลว่าควร หรือควรจะถือเป็นปัจจุบันกาล
ใช้ได้กับทุกตัวประทานซึ่งส่วนมากมักจะใช้แทน ought to 
โดยเฉพาะภาษาพูด


หน้าที่ของ May, Might



                       May นำมาช่วยดังนี้
              1.             เพื่อแสดงความมุ่งหมาย
              2.             เพื่อแสดงความปรารถนาหรืออวยพรให้
              3.             ช่วยเพื่อแสดงถึงการอนุญาตหรือการขออนุญาต
              4.             ช่วยเพื่อแสดงการคาดคะเน
              5.             ช่วยเพื่อแสดงความสงสัย


Might นำมาใช้ช่วยดังนี้
1. ใช้เป็นอดีตของmay
2. ใช้ในกรณีที่ผู้พูดไม่แน่นอนใจจะทำหรือไม่ 
(แต่หากแน่นอนใจให้ไปใช้mayแทน )


การใช้ Need, Dare, Ought to, Used to
Needถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่าจำเป็นต้องใช้ได้กับ
ทุกบุรุษและทุกพจน์ ส่วนมากมักจะใช้เป็น      
กริยาช่วยในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธเท่านั้น
กริยาแท้ที่ตามหลัง Need ไม่ต้องใช้ to นำหน้า

Need ถ้าเป็นกริยาแท้แปลว่าต้องการ
และเปลี่ยนรูป
ไปตามบุรุษ,พจน์,กาล เหมือนกริยาทั่วๆไป

Dareถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่ากล้าใช้ได้กับ
ทุกบุรุษทุกพจน์
และเป็นปัจจุบันกาล Infinitive ที่ตามหลัง
เป็น Infinitive ที่ไม่มี to 

Ought to แปลว่าควรจะตัวนี้เป็นกริยาพิเศษทั่วๆไปกล่าวคือ
เมื่อเป็นประโยคบอกเล่าก็เรียง ought to ไว้หลังตัวประธานในประโยค
และกริยาแท้ที่ตามหลัง ought to ก็ต้องเป็นกริยาช่อง 1ตลอดไป
หากเป็นคำถามก็ให้เอาเฉพาะ ought ขึ้นไปวางไว้ต้นประโยค
และเมื่อทำเป็นประโยคปฏิเสธก็ให้เติม not ลงข้างหลัง ought

Used to แปลว่าเคยเป็นกริยาพิเศษที่มี
ความหมายว่าเคยกระทำ
อย่างหนึ่งอย่างใดในอดีตเป็นประจำแต่บัดนี้
ไม่ได้ทำการนั้นอีกแล้ว
กริยาที่ตามหลัง used to ต้องเป็น
กริยาช่อง 1 ตลอดไป
หากเป็นประโยคบอกเล่าให้เรียงไว้หลังประธาน
เป็นคำถามนำเอา Did ขึ้นไปวางไว้ต้นประโยค
และเมื่อทำเป็นประโยคปฏิเสธก็ให้
เติม did ก่อนแล้วจึงเติม not ลงไป