วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าดีๆ (1)


                                เรื่องเล่าดีๆ   ....  มีมาฝาก (1)

 

คน 3    

ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
 
หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้
สะอึกสะอื้นจึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไรลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า 
 ‘ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไป
ปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใคร
เชื่อผมเลย ฮือ ฮือ

   
หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า
เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยาก

จะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ
ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา

  
 
คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชน
ทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม 
เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง 
เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้
ช่างสว่างไสวสวยงาม 



ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
หัวใจ ‘มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น
บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดี
ว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็
มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอด
เวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอม
ที่คนอื่นยื่นให้ ‘ 

    
อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพ
ใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่ง
แล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ 
บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร’ 

   
สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีสามีแล้ว 
เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง
 ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็น
นั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ 
มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่
ทั่วไปในสังคม 

      
เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับ
เราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใคร
จงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของ
นักปราชญ์   ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล ‘ 


แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้น
เรื่อย ๆลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา  
เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิด
เกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด
 ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา  

 

เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้น
ไม่มีอยู่จริง  ใจเราควรสงบนิ่งยังไม่ต้องชำระใจ  
คนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่   
เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารเพราะ...มีเวลามองคนอื่น 
 แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง  คิดแต่ว่าตนทำถูก   เก่ง  ดี   
ไม่พยายามเข้าใจคนอื่น  ดังนั้นเจ้าจงแผ่เมตตาให้เขาไป 
เข้าใจใช่ไหม’ 
 

ลูกศิษย์ตอบทันทีว่า  เข้าใจครับหลวงตา 
และยิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง


  ที่มา   : http://happyhappiness.monkiezgrove.com                     รวบรวมโดย   ครู ว.แหวน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น